บ้านเกาะกลาง ตำบลคลองประสงค์ อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ ประสบกับปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและต้องเผชิญกับปัญหาน้ำทะเลหนุน ซึ่งสภาพพื้นที่โดยส่วนใหญ่จะทำเกษตรกรรมโดยเฉพาะพื้นที่ปลูกข้าว ซึ่งปัญหาจากน้ำทะเลหนุนยังคงเป็นปัญหาหลักของการปลูกข้าวที่นี่ โดยชาวบ้านตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ปัญหานี้นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
ด้วยเหตุนี้ทางประธานกลุ่มชาวนาบ้านเกาะกลางจึงได้ทดลองสร้างคันดินขนาดเล็กในที่นาของตนเอง เพื่อเป็นการทดลองกั้นน้ำเค็มและพบว่าได้ผลดี ต่อมาจึงได้เสนอโครงการคันดินกั้นน้ำขึ้นอย่างจริงจัง ซึ่งประกอบด้วยแนวคันดินกั้นน้ำสำหรับพื้นที่นาข้าวในหมู่ที่ 1 รวมระยะทางประมาณ 6.7 กม
ต่อมาได้สร้างเพิ่มระยะทางประมาณ 3.5 กม และก่อสร้างอีกประมาณ 1.4 กม โดยเป็นคันดินถมที่มีสันเขื่อนสูงประมาณ 2.0 เมตรจากระดับทะเลปานกลางมาตรฐานของประเทศไทย (MSLo) คันกั้นน้ำส่วนที่เหลืออาศัยถนนหรือแนวคันบ่อที่มีอยู่เดิม ซึ่งเมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์จะช่วยป้องกันพื้นที่ได้ราว 1,200 ไร่
แม้วันนี้จะมีแนวทางการปัองกันในระดับหนึ่งแต่ก็ไม่อาจเพียงพอ เนื่องจากการคาดการณ์ว่า ในอนาคตพื้นที่ที่ในปัจจุบันไม่เคยท่วมก็จากท่วมเพิ่มมากขึ้นเนื่องมาจากระดับทะเลที่สูงขึ้นผนวกกับการทรุดตัวของแผ่นดินชายฝั่ง
กรณีพื้นที่บ้านคลองประสงค์นับเป็นหนึ่งในกรณีปัญหาจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ซึ่งถือเป็นการปรับตัวของชุมชนที่น่าสนใจ ขณะเดียวกันก็ได้มีการวิเคราะห์ คาดการณ์จากสภาพอากาศในอนาคตประกอบไปกับสถานการณ์ปัญหาจริงในชุมชน เพื่อหาแนวทางรับมือในอนาคตให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีแนวคิดและวิเคราะห์ดังนี้
การรับมือกับภาวะน้ำทะเลหนุนในปัจจุบันและอนาคต มี 3 แนวทางด้วยกันคือ
การป้องกันโดยใช้คันกั้นน้ำเค็ม
พื้นที่ที่ปัจจุบันนี้เป็นหรือเคยเป็นนาข้าวในหมู่ที่ 1 บ้านเกาะกลางมีทั้งสิ้น 617 ไร่ ซึ่งถ้ามีการปลูกข้าวเต็มพื้นที่เหล่านี้และมีผลผลิตโดยเฉลี่ย 450 กิโลกรัมข้าวเปลือกต่อไร่ต่อปี ก็จะได้ผลผลิตเต็มศักยภาพรวมประมาณ 278 ตันต่อปีหรือคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 168.4 ล้านบาทตลอดช่วงฐาน 30 ปี (คิดจากราคาปัจจุบันของข้าวเปลือกสังข์หยด) แต่ถ้าไม่มีมาตรการรับมือใดๆ ต่อภาวะน้ำทะเลหนุน ศักยภาพการผลิตสูงสุดจะเหลือเพียง 140.4 ล้านบาท (ราคาในปัจจุบัน) ต่อช่วง 30 ปี เท่านั้น
กลุ่มชาวนาซึ่งเป็นตัวแทนของชุมชนบ้านเกาะกลางได้ใช้ความรู้จากความแปรปรวนของระดับน้ำทะเลในอดีตเป็นข้อมูลหลักในการตัดสินใจเลือกการสร้างคันดินกั้นน้ำเค็มยาวทั้งสิ้น 6.7 กิโลเมตร เพื่อเป็นมาตรการในการรับมือกับน้ำทะเลหนุนที่เกิดขึ้น โดยระดับความสูงที่ใช้คือ 2.0 เมตรจาก MSLo มีสันเขื่อนด้านบนกว้างโดยเฉลี่ย 3 เมตร ความลาดชันไหล่ 1:1 โดยประมาณ ซึ่งค่าก่อสร้างในปัจจุบันตกกิโลเมตรละ ประมาณ 1 ล้านบาท แต่การสร้างคันที่สูงมากขึ้นจะทำให้ราคาค่าก่อสร้างต่อกิโลเมตรเพิ่มขึ้นในอัตราก้าวหน้าตามพื้นที่ภาคตัดขวางที่เพิ่มในสัดส่วนที่มากขึ้นด้วย ดังตัวอย่างที่แสดงในภาพที่ 11
ผลประโยชน์ทางตรงที่ได้จากคันกั้นน้ำเค็มคือลดความเสียหายของผลผลิตข้าว ซึ่งการวิเคราะห์ผลตอบแทนในส่วนนี้ต่อต้นทุนการก่อสร้างพบว่าคันดินที่มีความสูง 2 เมตรจาก MSLo ที่กลุ่มชาวนาเลือกใช้จากประสบการณ์ในอดีตนั้นเป็นทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนตลอดช่วงปีฐาน 30 ปี (1980-2009) ที่คุ้มค่าต่อการลงทุนมากที่สุด (ภาพที่ 12) คือประมาณ 4.19 เท่า ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ถ้านำการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดในอนาคต ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของระดับทะเลเฉลี่ย การทรุดตัวของแผ่นดินและความแปรปรวนของลมมรสุมมาวิเคราะห์ร่วมด้วยจะพบว่าคันกั้นน้ำน้ำที่ความสูงเพียง 2 เมตรจาก MSLo นี้จะไม่สามารถป้องกันน้ำทะเลหนุนได้เลย แม้แต่ในช่วงอนาคตอันใกล้ (2010-2039) โดยการก่อสร้างคันกั้นน้ำเค็มในอนาคตที่คุ้มค่าการลงทุนที่สุดควรจะมีความสูงจาก MSL0 2.50, 2.75 และ 3.50 เมตร สำหรับช่วงปี ค.ศ. 2010-2039, 2040-2069 และ 2070-2099 ตามลำดับ
ตารางที่ 4. คันกั้นน้ำเค็มที่มีสัดส่วนผลตอบแทนต่อการลงทุนที่สูงที่สุดเพื่อเป็นทางเลือกเพื่อรับมือในแนวทางการป้องกัน (defense) นาข้าวจากกับน้ำทะเลหนุนในอนาคตเทียบกับการไม่ทำอะไร (ราคาต่างๆ เป็นราคาปัจจุบัน)
1980-2009 | 2010-2039 | 2040-2069 | 2070-2099 | |||||
คันกั้นน้ำเค็ม | ไม่มี | มี | ไม่มี | มี | ไม่มี | มี | ไม่มี | มี |
ความสูงสันเขื่อน (เมตร MSLo) | 0 | 2.00 | 0 | 2.50 | 0 | 2.75 | 0 | 3.50 |
ค่าก่อสร้าง (ล้านบาท) | 0 | 6.7 | 0 | 9.2 | 0 | 10.6 | 0 | 15.2 |
ผลผลิตข้าวได้ (ล้านบาท/30ปี) | 140.4 | 168.4 | 58.9 | 168.4 | 13.7 | 152.2 | 3.0 | 168.4 |
ข้าวเสียหาย (ล้านบาท/30ปี) | 28.1 | 0 | 109.6 | 0 | 154.7 | 16.2 | 165.4 | 0 |
ผลตอบแทนต่อการลงทุน | 0 | 4.19 | 0 | 11.90 | 0 | 13.07 | 0 | 10.85 |
การใช้คันกั้นน้ำเค็มร่วมกับการชดเชยความเสียหาย
คันกั้นน้ำที่สร้างขึ้นอาจจะไม่สามารถป้องกันน้ำทะเลหนุนท่วมได้เต็ม 100% เนื่องจากอาจจะมีน้ำที่สูงเกินความคาดหมายหรือที่เป็นไปได้มากกว่าคือการขาดความต่อเนื่องของงบประมาณในการขยายหรือปรับปรุงความสูงของคันกั้นน้ำให้เหมาะสมตามสภาพของระดับทะเลที่เพิ่มขึ้นและการทรุดตัวของแผ่นดินในอนาคต โดยกรณีนี้จะสมมติสถานการณ์ว่า ถ้ามีการสร้างคันกั้นน้ำได้ครบทั้ง 6.7 กิโลเมตร ในช่วงปีฐานโดยมีระดับความสูงต่างๆ กัน แต่หลังจากนั้นไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใดๆ เพื่อประเมินว่าเมื่อเวลาผ่านไปประสิทธิภาพของคันกั้นน้ำแต่ละระดับจะมีประสิทธิภาพลดลงอย่างไรและถ้าจะต้องมีการชดเชยแก่ชาวนาที่ผลผลิตเสียหาย จะต้องชดเชยเป็นจำนวนวงเงินประมาณเท่าใด
จะเห็นได้ว่าการลงทุนสร้างครั้งแรกให้พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวจะเป็นการลงทุนที่วงเงินโดยรวมจะน้อยกว่าการชดเชยในอนาคตมาก นอกจากนี้คันกั้นน้ำระดับ 2.0 เมตรจาก MSL0 ที่มีอยู่ในปัจจุบันจะไม่เพียงพอต่อการป้องกันน้ำทะเลหนุนแม้แต่ในอนาคตอันใกล้ โดยการชดเชยความเสียหายถ้ามีการปลูกข้าวจริงเต็มพื้นที่จะมีวงเงินสูงถึง 109.6 ล้านบาทต่อช่วง 30 ปีแรกที่จะมาถึงนี้ ซึ่งเมื่อเทียบกับการสร้างคันกั้นน้ำที่มีความสูง 2.5 เมตร MSLo ซึ่งจะสามารถป้องกันน้ำหนุนในช่วงปี 2010-2039 ได้อย่างสมบูรณ์ โดยลงทุน 9.2 ล้านบาท (ราคาในปัจจุบัน) ก็จะมีระยะเวลาคืนทุนเพียงประมาณ 3 ปี หรือแม้แต่การลงทุนเป็นเงิน 15.2 ล้านบาท เพื่อสร้างคันกั้นน้ำขนาด 3.5 เมตร ซึ่งจะป้องกันน้ำหนุนไปได้จนถึงปี 2099 ก็จะมีระยะเวลาคืนทุนเพียงประมาณ 5 ปี เท่านั้น
ตารางที่ 5. คันกั้นน้ำเค็มสร้างที่ระดับความสูงสันเขื่อนต่างๆ ในช่วงปีฐาน (1980-2009) และวงเงินชดเชยความเสียหายต่อแต่ละช่วง (30 ปี) จากน้ำทะเลหนุนสูงกว่าระดับสันเขื่อน
ความสูงสันเขื่อน (เมตร MSLo) | ค่าก่อสร้าง (ล้านบาท) | วงเงินชดเชย (ล้านบาทต่อ 30 ปี) | |||
1980-2009 | 2010-2039 | 2040-2069 | 2070-2099 | ||
1.25 | 3.6 | 28.1 | 109.6 | 154.7 | 165.4 |
1.50 | 4.5 | 28.1 | 109.6 | 154.7 | 165.4 |
1.75 | 5.6 | 19.4 | 109.6 | 154.7 | 165.4 |
2.00 | 6.7 | 0 | 109.6 | 154.7 | 165.4 |
2.25 | 7.9 | 0 | 26.9 | 154.7 | 165.4 |
2.50 | 9.2 | 0 | 0 | 154.7 | 165.4 |
2.75 | 10.6 | 0 | 0 | 16.2 | 165.4 |
3.00 | 12.1 | 0 | 0 | 0 | 165.4 |
3.25 | 13.6 | 0 | 0 | 0 | 149.0 |
3.50 | 15.2 | 0 | 0 | 0 | 0 |
ปรับตัวกับความเค็มโดยเปลี่ยนพื้นที่นาที่ได้รับผลกระทบเป็นบ่อเลี้ยงปูทะเล
การเลี้ยงปูทะเลเป็นกิจกรรมที่มีชาวบ้านเกาะกลางบางส่วนได้เริ่มทำในพื้นที่ที่ดินเค็มอย่างถาวรโดยการขุดเป็นบ่อขนาด 2-3 ไร่ให้พื้นบ่อบางส่วนลึกลงไปถึงระดับน้ำลงต่ำสุดและบางส่วนปรับให้เป็นที่สูงเพื่อให้ปูขุดรูอยู่อาศัย รวมทั้งปลูกต้นไม้ชายเลนยืนต้นเพื่อให้ร่มเงาและเพิ่มสารอินทรีย์ในบ่อด้วย การเลี้ยงเป็นแบบธรรมชาติโดยให้อาหารสดเสริมบ้าง ซึ่งรายได้จากการขายปูทะเลจะตกประมาณ 6,000 บาทต่อไร่ต่อปี
การปรับตัวโดยปรับที่ดินในบริเวณที่เป็นพื้นที่ต่ำน้ำทะเลท่วมถึงได้ให้เป็นโซนบ่อเลี้ยงปูจะมีค่าใช้จ่ายในการขุดบ่อ ซึ่งในแต่ละบ่อนั้นจะมีทั้งส่วนที่สูงและต่ำแต่ระดับของก้นบ่อโดยเฉลี่ยจะประมาณอยู่ที่ระดับทะเลปานกลางจริง (MSLt) ซึ่งจะสูงกว่าระดับทะเลปานกลางมาตรฐาน (MSLo) เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลจากภาวะโลกร้อนในอนาคต โดยค่าใช้จ่ายในปัจจุบันในการขุดบ่ออยู่ที่ประมาณ 35,000 บาทต่อไร่ต่อความลึกบ่อ 1 เมตร นอกจากนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในชุมชนรายได้จากการเลี้ยงปูบางส่วนจึงจะจัดสรรเพื่อชดเชยให้กับนาข้าวส่วนที่ยังคงได้รับความเสียหายจากน้ำทะเลหนุนด้วย
การวิเคราะห์ผลตอบแทนต่อต้นทุนการขุดบ่อปู (รวมเงินที่ใช้ชดเชยแก่นาข้าวที่เสียหาย) แสดงให้เห็นว่าจุดที่คุ้มทุนที่สุดในช่วงปีฐาน (1980-2009) คือการเปลี่ยนพื้นที่นาข้าวที่ปัจจุบันอยู่ที่ต่ำกว่าแนวระดับ 2.00 เมตรจาก MSLo ให้เป็นโซนบ่อเลี้ยงปูทะเล อย่างไรก็ตามผลตอบแทน (ตลอด 30 ปี) ต่อการลงทุนจะค่อนข้างต่ำ (ประมาณ 3.09) ถึงแม้ว่าจะไม่ต้องชดเชยให้กับนาข้าวเลยก็ตาม
ในอนาคตจากการที่ระดับทะเลเพิ่มสูงสูงขึ้นจากภาวะโลกร้อนประกอบกับการทรุดตัวของแผ่นดินจึงทำให้ความลึกของบ่อที่ต้องขุดจะน้อยลงกว่าเดิม ส่งผลให้ต้นทุนลดลงด้วย ดังนั้นถึงแม้ว่าจะมีพื้นที่บางส่วนอยู่ต่ำกว่าระดับทะเลปานกลางจริงในช่วงนั้น (MSLt) ซึ่งไม่สามารถขุดบ่อได้ แต่ผลตอบแทนต่อการลงทุนก็จะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในอนาคตระยะยาว (2069-2099) แต่ก็จะส่งผลให้พื้นที่ปลูกข้าวจะลดลงอย่างมากจนแทบจะไม่เหลือเลยเมื่อสิ้นคริสศตวรรษ (ตารางที่ 6)
ตารางที่ 6. การจัดโซนนิ่งพื้นที่เลี้ยงปูทะเลเพื่อให้ผลตอบแทนต่อต้นทุนสูงที่สุดเพื่อเป็นทางเลือกในการปรับตัวแบบอยู่กับความเค็มที่เกิดขึ้นจากน้ำทะเลหนุนในอนาคต (ราคาต่างๆ เป็นราคาปัจจุบัน)
1980-2009 | 2010-2039 | 2040-2069 | 2070-2099 | |
แนวสูงสุดของโซนเลี้ยงปู (อ้างอิงแนวเส้นชั้นความสูงในปัจจุบันจาก MSLo) | 2.00 | 2.50 | 2.75 | 3.25 |
พื้นที่เพื่อการเลี้ยงปู (ไร่) | 166 | 498 | 570 | 442ก |
ค่าใช้จ่ายในการขุดบ่อ (ล้านบาท)ข | 9.7 | 26.8 | 21.5 | 9.7 |
รายได้จากปู (ล้านบาทต่อ 30 ปี) | 29.9 | 89.7 | 102.6 | 79.6 |
พื้นที่ปลูกข้าว (ไร่) | 458 | 125 | 54 | 15 |
เงินชดเชยนาข้าวที่เสียหาย (ล้านบาทต่อ 30 ปี) | 0 | 0 | 0.8 | 1.1 |
ผลตอบแทนต่อการลงทุน | 3.09 | 3.35 | 4.74 | 8.10 |
ก พื้นที่บางส่วนอยู่ต่ำกว่า MSLt ของช่วงเวลานั้นจึงไม่สามารถขุดบ่อได้
ข ค่าใช้จ่ายในระยะยาวลดลงเนื่องจากระดับ MSLt สัมพัทธ์กับพื้นดินเพิ่มสูงขึ้น
การเปรียบเทียบทางเลือกการรับมือแบบป้องกันและการปรับตัว
ในช่วงปีฐาน (1980-2009) ผลตอบแทนต่อการลงทุนของทางเลือกทั้งสองจะใกล้เคียงกัน แต่ในช่วงอนาคตอันใกล้ (2010-2039) และในระยะกลาง (2040-2069) ทางเลือกในแนวทางการป้องกันโดยใช้โครงสร้างทางวิศวกรรมคือคันดินกั้นน้ำเค็มจะมีผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์สูงกว่าทางเลือกในแนวทางการปรับตัวมาก แต่ในระยะยาว (2070-2099) ทางเลือกในแนวทางหลังนี้จะมีความคุ้มทุนที่ดีขึ้นในขณะที่แนวทางแรกจะเริ่มคุ้มทุนน้อยลง (ภาพที่ 16) ดังนั้นการใช้ส่วนผสมของทั้งสองแนวทางจึงน่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่ากล่าวคือในช่วง 60 ปีแรกยังคงใช้แนวทางของคันกั้นน้ำเค็มแต่หลังจากนั้นขึงปรับไปเป็นการเพราะเลี้ยงสัตว์ทะเลที่สอดคล้องกับความเค็มที่เพิ่มขึ้นจากระดับทะเลสัมพัทธ์ที่สูงขึ้นมากจนทำให้ต้นทุนการรับมือโดยใช้แนวทางทางวิศวกรรมพุ่งสูงขึ้น ในขณะที่ต้นทุนในการปรับตัวจะลดต่ำลง
อย่างไรก็ตามการคำนวณต้นทุนต่างๆ ในที่นี้ยังไม่ได้คิดต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อม ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ฯลฯ ซึ่งวิธีการศึกษายังจะต้องมีการพัฒนาต่อไป
ข้อมูลจากเอกสาร เรื่องแนวทางการรับมือต่อการเพิ่มและความแปรปรวนของระดับทะเลในอนาคตของชุมชนเกษตรกรรมชายฝั่ง บ้านเกาะกลาง ตำบลคลองประสงค์ อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ โดย START, 2553
(โครงการศึกษาด้านผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศในอนาคตและการปรับตัวของภาคส่วนที่สำคัญ สนับสนุนโดย สำนักงานนโยบายและแผนและทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
กรณีศึกษาของการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในปัจจุบัน ซึ่งต้องมีการประเมินกันต่อไปว่า สิ่งก่อสร้างดังเช่น คันดินกั้นน้ำเค็ม ที่ชาวบ้านได้ทำขึ้นนี้ จะยังมีความสามารถหรือศักยภาพเพียงพอสำหรับการป้องกัน หรือรับมือกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในอนาคตได้หรือไม่ แต่อย่างน้อย ณ ปัจจุบันนี้ ชาวบ้านก็ยังได้ตระหนักและรู้ว่า ตัวเอง กำลังรับมือและเสี่ยงกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ถึงจะเป็นเพียงแค่ในระยะสั้นก็ตาม....
ตอบลบ