โครงการศึกษามาตรการลดผลกระทบจากภูมิอากาศในอนาคตของประเทศไทย แบ่งกลุ่มศึกษา 4 กลุ่มตามประเด็นสำคัญ คือ ภาคเหนือ(ภัยพิบัติธรรมชาติ) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(น่าจะเป็นการจัดการน้ำลุ่มน้ำแม่โขง-ถ้าจำไม่ผิด) ภาคใต้(การพัฒนาโครงการโลจิสติกส์และอื่นๆ บริเวณชายฝั่งอันดามันตอนล่าง-สตูล) และภาคกลาง (เขตเมืองชายฝั่งภาคกลาง)
ผลการศึกษาทั้งหมดไม่ใช่การศึกษาใหม่ถอดด้ามเสียทีเดียว แต่เป็นการศึกษาสรุปการพัฒนานโยบายและโครงการต่างๆ เพื่อรับมือกับภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา แล้วมาศึกษาบริบทในปีนี้อีกครั้งพร้อมนโยบายการพัฒนาในปัจจุบัน และวิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศในอนาคตอีกครั้ง แล้วจึงจัดทำนโยบายที่เหมาะสมที่สุด(ภายใต้การหารือกับฝ่ายต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง) ส่งมอบให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติฯ ไปใช้ขับเคลื่อนงานต่อทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงตนเอง และกระทรวงอื่นๆ รวมถึงการดำเนินงานตามพันธกรณีในฐานะรัฐภาคีของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอัพเดตผลที่เกิดขึ้นจากการประชุมรัฐภาคีในทุกๆ ปีเฉพา ะส่วนที่ผมรับผิดชอบคือ “เขตเมืองชายฝั่งภาคกลาง” ซึ่งก็คือกรุงเทพฯ และปริมณฑลนั้น
การวิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศในช่วงปี 2012-2061 โดยใช้ PRECIS ECHAM4 (โปรแกรมวิเคราะห์) โดยใช้สถานการณ์ว่าการพัฒนาในภาพรวมเน้นด้านเศรษฐกิจและมีความร่วมมือในภูมิภาค ... พบว่าสิ่งที่มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงหากภาพรวมของการพัฒนายังเป็นแบบนี้ คือ อากาศร้อนขึ้น และฝนตกมากขึ้น (ตามกราฟ)
แนวโน้มอุณหภูมิสูงสุด |
แนวโน้มอุณหภูมิเฉลี่ย |
แนวโน้มปริมาณน้ำฝน |
การเปลี่ยนแปลงทั้งสองอย่างนี้มีผลอย่างไรต่อเขตเมืองชายฝั่งภาคกลาง ก็ต้องดูสภาพของพื้นที่เขตเมืองชายฝั่งภาคกลางตั้งแต่สภาพธรรมชาติของที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่อยู่ในเขตอิทธิพลของทะเล และอิทธิพลของแม่น้ำสายต่างๆ ซึ่งเขตชายฝั่งภาคกลางได้รับอิทธิพลจากแม่น้ำมาก ในส่วนของปลายน้ำ คือ น.เจ้าพระยา น.ท่าจีน น.แม่กลอง น.บางปะกง เหนือขึ้นไปก็ น.ป่าสัก และ ลุ่มน้ำปิง วัง ยม น่าน ...
สภาพสังคมและเศรษฐกิจดูจากโครงสร้างเศรษฐกิจว่าเขตเมืองคือเศรษฐกิจนอกภาคเกษตรกรรม กิจกรรมทางเศรษฐกิจจึงอยู่ในลักษณะนั้น และนำมาถึงวิถีชีวิตของประชาชนและองค์กรตามไปด้วย สิ่งสำคัญสำหรับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ คือ คุณลักษณะของประชาชนซึ่งรวมหมดทั้งคนในภาครัฐ เอกชน หรือประชาชนทั่วไป ... คนเมืองมีลักษณะอย่างไร มีผลตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างไร...
ทั้งหมด เป็นบริบทของพื้นที่ที่ศึกษาครอบคลุม เพื่อคิดหานโยบายที่เป็นไปได้ในการนำมาใช้
สองเดือนกว่าที่ผ่านมา ได้ศึกษาข้อมูลทั้งหมดที่ว่ามาข้างต้นอย่างละเอียดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนกับการพัฒนางานที่แล้วๆ มา จนได้ประเด็นสำคัญมา 10 ประเด็น เพื่อเป็นพื้นฐานในการจัดทำนโยบายร่วมกับฝ่ายต่างๆ ในช่วง 1-2 เดือนนับจากนี้
๑.ปัจจัยภายนอกที่มีอิทธิพลต่อปัญหาน้ำท่วมในเขตเมือง
๒.การเดินทางของประชาชนและการขนส่งสินค้าในเขตเมือง
๓.มลพิษทางอากาศและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
๔.ผลกระทบต่อสุขภาพผู้ทำงานกลางแจ้ง เด็กและคนชราในช่วงอุณหภูมิสูงสุด
๕.มาตรการทางผังเมืองที่มีผลลดอุณหภูมิในบรรยากาศและจัดการน้ำทั้งระบบ
๖.ค่าครองชีพและต้นทุนขององค์กรจากการใช้ไฟฟ้าและเชื้อเพลิงในที่ทำงาน/บ้านเรือน/การเดินทาง/ขนส่งสินค้า
๗.ค่าเสียโอกาสในช่วงเวลาน้ำท่วมจากการเดินทาง
๘.ความสุขคนเมืองจากอิทธิพลของสภาพอากาศและปัญหาน้ำท่วม
๙.ความเป็นสังคมบริโภคและวิถีชีวิตที่อยู่กับการเปลี่ยนแปลงตามปกติของสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติน้อยเปรียบเทียบกับเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวัน
๑๐.ความเป็นจุดศูนย์กลางของระบบเศรษฐกิจและสังคมแบบรวมศูนย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ทุกข้อเป็นประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ บางข้อเป็นเรื่องผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ บางข้อเป็นผลกระทบต่อเนื่อง บางข้อเป็นตัวแปรสาเหตุให้ผลกระทบรุนแรงหรือเบาบางลง ส่วนใหญ่การพัฒนานโยบายในระยะ 5 ปีที่ผ่านมาของประเทศไทยก็ระบุประเด็นเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่เช่นกัน แต่มีอยู่ ๔ ประเด็นที่ไม่เคยกล่าวถึง(หรือมีแต่ผมอาจศึกษาไม่ครอบคลุม) ได้แก่ เรื่องจุดศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและสังคมแบบรวมศูนย์ สังคมบริโภค/วิถีชีวิตที่ห่างไกลธรรมชาติ ความสุขคนเมือง และค่าเสียโอกาส
ทั้ง ๑๐ ประเด็นนี้ คือสิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญต่อการนำมาพัฒนาเป็นนโยบายในการปรับตัวของเขตเมืองชายฝั่งภาคกลางเพื่อรับมือกับผลกระทบจากภูมิอากาศในอนาคต โดยต้องการแลกเปลี่ยนกับคนฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและมีความสนใจ เพื่อจัดทำนโยบายในขั้นสุดท้ายร่วมกัน ในการทำงานแบบ walk in จะมีการหารือกับฝ่ายต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชนในเขตเมืองอยู่แล้ว สำหรับใน social network แห่งนี้ ก็เปิดกว้างสำหรับทุกกลุ่มที่สนใจ
หากคิดว่าประเด็นใดสมควรนำมาทำเป็นนโยบาย "ก็แสดงความคิดเห็นกันนะครับ" และอาจจะเป็นประเด็นอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ก็ได้ หากท่านคิดว่าเหมาะสมกว่า เอนทรี่นี้ จะพูดถึงประเด็นแรกก่อน ที่เหลือจะค่อยๆ ทยอยพูดไปทีละข้อในภายหลัง
๑.ปัจจัยภายนอกที่มีอิทธิพลต่อปัญหาน้ำท่วมในเขตเมือง
ปัญหาน้ำท่วมเวลาฝนตกหรือน้ำหลากในช่วงฤดูฝนเป็นปัญหาเรื้อรังในเขตเมืองอยู่แล้ว ดังนั้น แนวโน้มว่าฝนจะตกมากขึ้น ย่อมทำให้ปัญหานี้หนักขึ้น
ปัญหานี้มี 2 มิติที่ต้องจัดการ คือ ระบบระบายน้ำจากเขตเมือง กับ ระบบจัดการปัจจัยภายนอกที่มีอิทธิพล ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเล , การเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำหลากจากตอนเหนือ และ แผ่นดินทรุด
จากการศึกษางานของเขตเมืองต่างๆ พบว่ากำลังแก้ไขเรื่องระบบระบายน้ำในเขตเมืองอย่างต่อเนื่อง แต่บางแห่งที่ช้านั้น เนื่องจากพื้นที่รองรับน้ำฝนและน้ำหลากยังจำกัด ทั้งในเรื่องจำนวนพื้นที่และศักยภาพในการรับน้ำ และระบบบริหารจัดการ แต่คาดว่าแนวโน้มในอนาคตจะแก้ไขดีขึ้นเรื่อยๆ จากการทำงานที่ต่อเนื่อง
ดังนั้น ประเด็นที่ควรใส่ใจคือ ปัจจัยภายนอกมากกว่า ว่าจะรับมือกับน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างไร และน้ำหลากมากขึ้นอย่างไร ... เหมือนกับการจัดการแนวกันชนของเมืองให้ดีขึ้น ปัญหาในเมืองจะได้ลดลงตามไปด้วยนั่นเอง
มีการศึกษาและหารือในระดับนโยบายในเรื่องนี้มาพอสมควร แต่ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน โดยเฉพาะการจัดการกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ประเด็นที่ชัดเจนที่สุด คือ การเสนอเรื่องโมเดลประตูน้ำปิดอ่าวไทยตอนใน โดยสร้างเป็นถนนเชื่อมต่อระหว่างชลบุรีกับหัวหิน นำเสนอโดยนักวิชาการบางส่วนของประเทศไทยและประเทศเนเธอร์แลนด์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้ข้อยุติ ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น